การดูแล รักษารถยนต์ เป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ใช้รถทุกคนควรทำ เพื่อให้รถยนต์ของคุณพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เป็นการชะลอการเสื่อมสภาพของรถยนต์ และรักษาสภาพเครื่องยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนอื่น ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วการดูแล รักษารถยนต์ ควรเช็กจุดใดบ้าง ? มาดูกัน !
ระดับของเหลวในรถยนต์
การเช็กระดับของเหลวในเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำกลั่นในแบตเตอรี น้ำมันคลัทช์ น้ำฉีดกระจกหน้ารถ รวมถึงน้ำยาหล่อเย็นที่อยู่ในหม้อน้ำและถังพักน้ำ จะช่วยทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ในรถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้นานขึ้น โดยระดับของเหลวต่าง ๆ ควรอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
เช็กสภาพห้องเครื่องยนต์
หากเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ จะส่งผลต่อการขับขี่อย่างมาก ผู้ใช้รถจึงควรดูแลและตรวจเช็กเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเช็กสภาพท่อ สายไฟภายใน และคราบน้ำมันตามจุดต่าง ๆ รวมถึงทำความสะอาดห้องเครื่อง อย่างน้อย 1-2 ปีครั้ง โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ แค่ใช้ลมเป่าให้ฝุ่นออก ล้างด้วยน้ำเบา ๆ หรือล้างด้วยน้ำยาล้างห้องเครื่อง ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสะอาดของห้องเครื่องด้วย
ระบบปรับอากาศ
ระบบปรับอากาศในรถเป็นอีกเรื่องในการดูแล รักษารถยนต์ที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองร้อนจัด หากขับรถท่ามกลางแดดร้อน ๆ โดยที่ไม่มีแอร์มาช่วยบรรเทาความอบอ้าวนี้ คงสร้างความทรมานให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่น้อย ผู้ใช้รถจึงควรตรวจเช็กสภาพระบบปรับอากาศในรถด้วย เช่น เช็กระดับน้ำยาแอร์ทุก ๆ 3 เดือน หรือเมื่อครบ 5,000 กิโลเมตร และเติมให้อยุ่ในระดับที่เหมาะสม เช็กแผ่นกรองอากาศ และเช็กสภาพสายพานคอมเพรสเซอร์แอร์ หากพบว่ามีจุดไหนชำรุดหรือเสื่อมสภาพควรนำเข้าอู่ให้ช่างตรวจสอบและแก้ไขให้
ระบบไฟส่องสว่าง
ก่อนออกเดินทาง ควรตรวจเช็กระบบไฟต่าง ๆ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก และระบบไฟส่องสว่างอื่น ๆ ให้เรียบร้อยว่ามีจุดไหนที่เสื่อมสภาพจนใช้งานไม่ได้บ้าง หากพบไฟหลอดที่ชำรุด ก็ควรนำเข้าอู่หรือศูนย์ให้ช่างเปลี่ยนใหม่ให้ ไม่ควรฝืนใช้ต่อ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างเดินทางได้ โดยเฉพาะเวลากลางคืน
ยางรถยนต์
โดยปกติแล้ว ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ทุก ๆ 3-5 ปี และควรเช็กสภาพยางทุก ๆ 1 ปี หรือเมื่อครบ 50,000 กิโลเมตร โดยควรเช็กสภาพของยางว่ามีรอยแตก ดอกยางเสื่อมหรือไม่ พร้อมตรวจสอบระดับความดันลมยาง และเติมลมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการใช้งานรวมถึงการบรรทุก ไม่ควรปล่อยให้ยางแข็งหรืออ่อนเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อการใช้งานได้ นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการขับขี่ที่อาจทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น ขับรถเร็ว เบรกแรง ๆ หรือขับบนทางขรุขระเป็นประจำ
ที่ปัดน้ำฝน
จุดเล็ก ๆ ที่มองข้ามไม่ได้ คือการดูแลรักษาที่ปัดน้ำฝน ผู้ใช้รถควรหมั่นทำความสะอาดที่ปัดน้ำฝนเป็นประจำ พร้อมตรวจเช็กสภาพยางที่ปัดน้ำฝนว่ามีรอยแตก เป็นขุย หรือเสื่อมสภาพหรือไม่ หากมีการชำรุดควรเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ สร้างความปลอดภัยในการขับขี่โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน
การดูแล รักษารถยนต์เป็นประจำ จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของรถยนต์ และยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ยาวนานขึ้น แม้จะเป็นเรื่องที่อาจจะดูยุ่งยากไปหน่อยสำหรับหลาย ๆ คน แต่การ บํา รุ ง รักษา รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดภาระค่าซ่อมไม่ให้บานปลายได้
อ่านเพิ่มเติม