แบตเตอรี่นับเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหลักๆแล้วแบตเตอรี่ทำหน้าที่ในการป้อนกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆภายในรถยนต์เพื่อให้สามารถทำงานได้ อาทิ ไดสตาร์ท ระบบไฟส่องสว่าง ระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ หากแบตเตอรี่มีการทำงานที่ผิดพลาดก็ไม่สามารถที่จะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังไดสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อทำการจุดระเบิดและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้ในกรณีที่แบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตามย่อมทำให้ไม่มีไฟฟ้าส่งเข้าไปยังไดสตาร์ทและทำให้สตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติด อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม หรือ แบตหมด นั้นก็ประกอบไปด้วยสาเหตุหลากหลายประการทั้งจากการใช้งานของผู้ขับขี่โดยตรง คุณภาพของแบตเตอรี่ และแบตเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานรถยนต์จึงควรตรวจสอบแบตเตอรี่ก่อนการเดินทางไกลอยู่เสมอว่ามีความพร้อมสำหรับการใช้งานหรือไม่
แบตเตอรี่ คือ อะไร !
ผู้ใช้รถหลายรายมักมีการตั้งคำถามว่าแบตเตอรี่ คือ อะไร ! แท้ที่จริงแล้วแบตเตอรี่ รถยนต์ คือ ส่วนประกอบอีกชิ้นส่วนหนึ่งภายในห้องเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหน้าที่ ของ แบตเตอรี่ ใช้ในการจัดเก็บกระแสไฟฟ้าเพื่อส่งไปยังอุปกรณ์ต่างๆภายในรถยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานเป็นหลัก อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟในช่วงที่เครื่องยนต์ไม่มีการทำงาน หรือ ดับเครื่องยนต์นั่นเอง อาทิ การเปิดแอร์ในขณะที่ดับเครื่องยนต์ การเปิดระบบไฟภายนอกรถ การเปิดระบบไฟภายในห้องโดยสารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ไฟที่จ่ายมาจากแบตเตอรี่โดยตรงในการทำงานแทบทั้งสิ้น
หน้าที่ ของ แบตเตอรี่
สำหรับหลักการทำงานของแบตเตอรี่ซึ่งจะทำหน้าที่ในการจัดเก็บประจุไฟฟ้า กอปรกับในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แบตเตอรี่จะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปสู่ไดสตาร์ทเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดและในขณะเดียวกันแบตเตอรี่ก็จะได้รับการชาร์จเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลกลับเข้าไปสู่หม้อแบตเตอรี่เพื่อทำการชาร์จไฟอยู่โดยตลอดที่เครื่องยนต์มีการทำงานอยู่นั่นเองส่งผลให้เมื่อผู้ขับขี่มีการดับเครื่องยนต์แต่ยังคงเปิดการทำงานของระบบไฟภายในรถอยู่แบตเตอรี่ก็จะมีการคายประจุไฟที่มีการกักเก็บเอาไว้ออกมาสู่ระบบที่ต้องการไฟฟ้านั้นๆ ส่วนในกรณีที่แบตเตอรี่เสื่อมก็จะไม่สามารถส่งกระแสไฟเข้าสู่ไดสตาร์ทเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ หรือ ไฟส่องสว่างมีลักษณะที่หรี่ลงก็มีสาเหตุมาจากแบตเตอเรี่เสื่อมได้อีกเช่นกัน
แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ชนิด
สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง และ แบตเตอรี่ไฮบริด โดยแบตเตอรี่ในทั้ง 3 ประเภท มีหลักการทำงานที่มีความแตกต่างกันดังนี้
- แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แบบน้ำจัดเป็นแบตเตอรี่ที่มีความทนทานสูงเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่แบบแห้งแล้วแบตเตอรี่น้ำมีอายุการใช้งานที่มากกว่า อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ในชนิดนี้จะต้องใช้น้ำกลั่นสำหรับเติมในหม้อแบตเตอรี่ซึ่งจะมีช่องให้เติมน้ำกลั่นอยู่โดยตลอด เนื่องจากน้ำกลั่นจะระเหยออกอยู่เรื่อยๆเมื่อมีการใช้งานแบตเตอรี่ โดยมีอัตราการจ่ายกระแสกไฟอยู่ที่ 50-70 เปอร์เซ็นต์ ของความจุแบตเตอรี่ จากนั้นเมื่อแบตมีการเสื่อมสภาพลงจะค่อยๆจ่ายไฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ได้น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งรถไม่สามารถสตาร์ทติดได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรเติมน้ำกลั่นให้แบตเตอรี่ประเภทนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง สำหรับแบตเตอรี่ในประเภทนี้คุณภาพที่ใกล้เคียงกับแบตเตอรี่แห้งแต่ก็มีข้อแตกต่างอยู่ที่ยังคงมีช่องสำหรับให้ผู้ขับขี่เติมน้ำกลั่นลงไปอยู่โดยมีอัตราการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์อยู่ที่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ของความจุแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่ประเภทนี้มีหลักการทำงานที่แตกต่างจากแบตเตอรี่น้ำอยู่พอสมควร โดยแบตเตอรี่แห้งจะใช้เจลกรดเข้ามาแทนที่น้ำกลั่นและที่ปิดผนึกเอาไว้ไม่สามารถที่จะเติมเจลกรดลงไปแทนที่ได้เหมือนดั่งเช่นในแบตเตอรี่น้ำ อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่แห้งมีอัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าที่เสถียรกว่าแบตเตอรี่น้ำอยู่มาก โดยแบตเตอรี่แห้งสามารถจ่ายไฟได้ประมาณ 70-80% ของความจุแบตเตอรี่ เมื่อหมดสภาพไม่สามารถที่จะเติมเจลกรดเพิ่มลงไปได้ต้องเปลี่ยนใหม่เพียงอย่างเดียว
- แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่ในรูปแบบนี้มีฟังก์ชั่นการทำงานที่คล้ายคลึงกับแบตเตอรี่น้ำแต่มีการออกแบบให้ช่วยลดการระเหยของน้ำกลั่นได้ในปริมาณที่ดีกว่ามาก เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานรถจึงไม่ต้องคอยตรวจสอบน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ในทุกๆครั้งที่มีการเดินทาง อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ต้องตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ แต่ก็ต้องมีการเติมน้ำกลั่นลงไปในแบตเตอรี่แบบไฮบริดอยู่ดี โดยแบตเตอรี่ประเภทนี้มีอัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในรถอยู่ในปริมาณที่สูง
แบตเตอรี่เสื่อมสภาพสังเกตได้อย่างไร
แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามหากมีการใช้งานไปในระยะเวลานานจะเริ่มมีการเสื่อมสภาพซึ่งเป็นไปตามอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ซึ่งผู้ขับขี่สามารถที่จะสังเกตอาการแบตเตอรี่เสื่อเก็บประจุไฟไม่อยู่มีดังนี้
- สำหรับการตรวจเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ผู้ขับขี่สามารถที่จะตรวจสอบได้ด้วยตนเองผ่านการสังเกตในขณะที่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์หากต้องใช้ระยะเวลาในการสตาร์ทนาน และสตาร์ทเพียงครั้งเดียวไม่ติดก็แสดงว่าระบบไฟในรถกำลังมีปัญหาแบตเตอรี่ไม่สามารถที่จะจัดเก็บประจุไฟ หรือ จ่ายไฟเข้าสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ได้ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
- ในกรณีที่ใช้แบตเตอรี่แห้งเมื่อใช้งานมาในระยะเวลาหนึ่งอาจมีการเสื่อสภาพและทำให้สตาร์ทไม่ติดในกรณีนี้ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบที่บริเวณส่วนด้านบนของแบตเตอรี่ซึ่งจะมีช่องระบุว่าแบตเตอรี่สามารถเก็บประจุไฟได้อยู่หรือไม่ด้วยวิธีการสังเกตหากอยู่ในแถบสีเขียวแบตเตอรี่ยังคงสามารถจัดเก็บประจุไฟได้ดีอยู่ แต่หากพบว่าแบตเตอรี่อยู่ในแถบสีแดงแสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อมและไม่สามารถที่จะจัดเก็บประจุไฟได้
แนะนำวิธีการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดบนท้องถนนปัจจุบันผู้ขับขี่สามารถที่จะแก้ไขได้ง่ายๆเพียงตั้งสติแล้วจึงขอความช่วยเหลือจากรถที่ขับผ่านอยู่ในบริเวณเดียวกัน หรือ โทรติดต่อผู้ที่สามารถเข้ามาพ่วงแบตเตอรี่ให้ได้เพื่อชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่และขับรถไปต่อ สำหรับขั้นตอนในการพ่วงแบตเตอรี่สามารถที่จะทำได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพียงแต่จะต้องใช้รถที่มีขนาดของเครื่องยนต์ใหญ่กว่า หรือ ในรถรุ่นและกลุ่มเดียวกันซึ่งมีแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุใกล้เคียงกันแล้วนำมาพ่วงเพื่อชาร์จไฟได้นั่นเอง
สำหรับวิธีการพ่วงแบตเตอรี่อย่างปลอดภัยนั้นควรดับเครื่องยนต์และปิดการทำงานของระบบไฟฟ้าที่ภายในรถทั้งหมด ก่อนนำสายพ่วงแบตเตอรี่มาชาร์จไฟกับรถอีกคัน โดยนำหัวของสายพ่วงขั้วบวกซึ่งจะมีสีแดงมาต่อพ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก จากนั้นจึงนำหัวของสายพ่วงขั้วลบซึ่งจะมีสีเขียว หรือ สีดำเข้ามาต่อพ่วงเข้ากับขั้วลบ ภายหลังจึงนำสายหัวต่อที่เหลือมาต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์ในรถคันที่แบตเตอรี่หมด โดยเว้นระยะห่างจากแบตเตอรี่เล็กน้อย หรือ ใช้แตะในส่วนตัวยึดแบตเตอรี่ได้เช่นกัน จากนั้นจึงสตาร์ทรถคันที่ยังมีแบตเตอรี่อยู่เพื่อชาร์จไฟให้กับคันที่แบตเตอรี่หมดโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที หลังจากนั้นจึงทำการเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ประจุไฟฟ้าไหลเวียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อชาร์จแบตเตอรี่ไปได้ระยะหนึ่ง จากนั้นทำการสตาร์ทเครื่องยนต์รถที่แบตเตอรี่หมด พร้อมทั้งเร่งเครื่องให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพื่อตรวจสอบการไหลของไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่หรือไม่ หากเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเร่งเครื่องยนต์แล้วรถไม่ดับ แสดงว่าการชาร์จไฟแบตเตอรี่ประสบความสำเร็จ สามารถถอดสายชาร์จแบตเตอรี่ออกได้โดยเริ่มจากรถที่ทำการชาร์จไฟให้ก่อน จากนั้นถอดให้กับรถที่แบตเตอรี่หมด ภายหลังนำรถไปขับประมาณ 30 นาที หรือ นำไปเช็คแบตเตอรี่ที่ศูนย์บริการเพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมดในขณะขับขี่บนถนน.
สำหรับผู้ที่มีความสงสัยถึงแบตเตอรี่ รถยนต์ คืออะไร หน้าที่ ของ แบตเตอรี่ มีหลักการทำงานอย่างไร สามารถที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Autofast9.com
ดูเพิ่มเติม